วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สุขบัญญัติ 10 ประการ

          สุขภาพ มีความหมาย 3 ประการ คือ
1. ความปลอดภัย (Safe)
2. ความไม่มีโรค (Sound)
3. ความปลอดภัย และไม่มีโรค (Whole)
          องค์กรอนามัยโลกได้ให้คำนิยามคำว่า สุขภาพ ในความหมายกว้างขึ้นว่า สุขภาพ หมายถึง สุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต และทางสังคม
          ตามร่างพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ 2545 ให้ความหมายของคำว่า สุขภาพ คือ ภาวะที่มีความพร้อมสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย คือ ร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง คล่องแคล่ว มีกำลัง ไม่เป็นโรค ไม่พิการ ไม่มีอุบัติเหตุอันตราย มีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ
           ดังนั้น "สุขภาพ" จึงหมายถึง "การมีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บในทุกส่วนของร่างกาย มีสุขภาพจิตดี และสามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข ผู้มีสุขภาพดีถือว่าเป็นกำไรของชีวิต เพราะทำให้ผู้เป็นเจ้าของชีวิตดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขได้" นั่นเอง


สุขบัญญัติ 10 ประการ

    สุขบัญญัติ หมายถึง ข้อกำหนดที่เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปพึงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นสุขนิสัย เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ดังนั้น การส่งเสริมสุขบัญญัติจึงเป็นกลวิธีหนึ่งในการสร้าง เสริมและปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ เพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีได้  


๑. ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
- อาบน้ำให้สะอาดทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง
- สระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง
- ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ
- ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน
- ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้อบอุ่นเพียงพอ
- จัดเก็บของใช้ให้เป็นระเบียบ

๒. รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี
- แปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี อย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง เวลาเช้า และก่อนนอน
- เลือกใช้ยาสีฟันและฟลูออไรด์
- หลีกเลี่ยงการกินลูกอม ลูกกวาด ท็อฟฟี่ หรือขนมหวานเหนียว
- ตรวจสุขภาพในช่องปาก อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง
- ห้ามใช้ฟันกัดขบของแข็ง

๓. ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังการขับถ่าย
- ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนและหลังการเตรียม ปรุง และรับประทานอาหาร
- ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังการขับถ่าย

๔. กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด
- เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถึงหลัก ๓ ป คือ ประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด
- ปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก ๓ ส คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภัย
- กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และกินให้ถูกหลักโภชนาการทุกวัน
- กินอาหารปรุงสุกใหม่ และใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารรสจัด ของหมักดอง หรือ อาหารใส่สีฉูดฉาด
- ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ ๘ แก้ว

๕. งดสูบบุหรี่ สุรา สารเสพย์ติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ
- งดสูบบุหรี่
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- ไม่เสพสารเสพย์ติดทุกประเภท
- งดเล่นการพนันทุกชนิด
- งดการสำส่อนทางเพศ

๖. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
- ทุกคนในครอบครัว ช่วยกันทำงานบ้าน
- ปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน
- เผื่อแผ่น้ำใจให้กันและกัน
- ทำบุญ และได้ทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน

๗. ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท
- ระมัดระวังในการป้องกันอุบัติภัยภายในบ้าน เช่น ไฟฟ้า เตาแก๊ส ของมีคม จุดธูปเทียนบูชาพระ และไม้ขีดไฟ เป็นต้น
- ระมัดระวังในการป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น ปฏิบัติตามกฏแห่งความปลอดภัยจากการจราจรทางบก ทางน้ำ ป้องกันอันตรายจากโรงฝึกงาน ห้องปฏิบัติการ เขตก่อสร้าง หลีกเลี่ยงการชุมนุมห้อมล้อม ในขณะเกิดอุบัติภัย

๘. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี
- ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓ ครั้ง
- ออกกำลังกายและเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและวัย
- ตรวจสุขภาพประจำปี

๙. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
- พักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ
- จัดสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้าน และที่ทำงานให้น่าอยู่ หรือน่าทำงาน
- มองโลกในแง่ดี ให้อภัย และยอมรับในข้อบกพร่องของคนอื่น
- เมื่อมีปัญหาไม่สบายใจ ควรหาทางผ่อนคลาย

๑๐. มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม
- มีการกำจัดขยะในบ้าน และทิ้งขยะในที่รองรับ
- หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โฟม พลาสติก
สเปรย์ เป็นต้น
- มีและใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
- มีการกำจัดน้ำทิ้งในครัวเรือนและโรงเรียนด้วยวิธีที่ถูกต้อง
- ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
- อนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม เช่น ชุมชน ป่า น้ำ และสัตว์ป่า เป็นต้น



ที่มา ::http://www.thaigoodview.com/node/43633
http://www.thaigoodview.com/node/3208

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กีฬาลีลาศ



ประวัติกีฬาลีลาศ






    คำว่า “ลีลาศ” หรือ “เต้นรำ”มีความหมายเหมือนกันพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปีพุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายดังนี้

    ลีลาศ  เป็นนามแปลว่า ท่าทางอันงดงาม การเยื้องกราย เป็นกิริยาแปลว่า เยื้องกรายเดินนวยนาด
     เต้นรำ  เป็นกิริยาแปลว่า เคลื่อนที่ไปโดยมีระยะก้าวตามกำหนดให้เข้ากับจังหวะดนตรีซึ่งเรียกว่าลีลาศ โดยปกติเต้นเป็นคู่ชายหญิง

         


          เต้นรำหรือลีลาศ ได้เกิดขึ้นมานับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และได้รับการพัฒนารูปแบบการเต้นรำมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตการเต้นรำเรามักจะพบในงานพิธีกรรมทางศาสนา อันได้แก่ การเต้นเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า การเต้นรำด้วยอาวุธเพื่อใช้ในทางทหาร ในยุคฟื้นฟูได้มีการจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเต้นรำ มีการจัดเต้นรำสวมหน้ากาก ระบำบัลเลย์ได้เกิดขึ้นในยุคนี้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้จัดตั้งโรงเรียนบัลเลย์ขึ้นเป็นแห่งแรก การเต้นระบำบัลเลย์ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานของการลีลาศก็ว่าได้ ยุคโรแมนติกเกิดการเต้นวอลซ์ ซึ่งรับมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียและได้แพร่หลายไปในยุโรปตะวันตก ในยุคปัจจุบันได้เกิดจังหวะฟอกซ์ทรอท และแทงโก้ ในสมัยนี้ได้เกิดจังหวะในประเภทบอลรูม รวมทั้งสิ้น 5 จังหวะ ได้แก่ วอลซ์ ควิ๊กวอลซ์ สโลว์ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ และควิ๊กสเต็ป ในปีค.1950 ได้เกิดจังหวะใหม่ๆ ขึ้นอีกได้แก่ จังหวะ แมมโม้ คิวบา ชา ชา ช่า และเมอเรงโก้ ในปี 1959 ได้จัดให้มีการแข่งขันลีลาศชิงแชมป์โลกที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งจังหวะที่จัดแข่งได้แก่ วอลซ์ ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ ควิ๊กสเต๊ป และเวนิสวอลซ์ จังหวะร็อคแอนด์โรล ได้เกิดขึ้นในยุคนี้ 


ประวัติลีลาศในประเทศไทย

          แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ว่ากีฬาลีลาศแพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โดยมีบันทึกของหม่อมแอนนา ว่าได้ลองแนะนำให้ท่านรู้จักกับการเต้นของชนชั้นสูง แต่ท่านกลับรู้จักการเต้นชนิดนั้นได้ดีอยู่แล้ว จึงคาดว่าน่าจะทรงศึกษาจากตำราต่างประเทศด้วยพระองค์เอง

          ต่อมาลีลาศค่อย ๆ เป็นที่นิยมขึ้นเรื่อย ๆ ในสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และมีการจัดตั้ง สมาคมสมัครเล่นเต้นรำ ขึ้นใน พ.. 2475 โดยมี หม่อมเจ้าไวทยากร วรวรรณ เป็นประธาน และจัดการแข่งขันเต้นรำขึ้นที่ วังสราญรมย์ โดยมี พลเรือตรี เฉียบ แสงชูโต และ คุณประนอม สุขุม เป็นผู้ชนะในครั้งนั้น และคำว่า "ลีลาศ" ก็ได้ถูกบัญญัติขึ้นในปี พ.. 2476 และเกิด สมาคมครูลีลาศแห่งประเทศไทย ขึ้นมาแทน สมาคมสมัครเล่นเต้นรำ

          หลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 การเต้นลีลาศก็ซบเซาลงไป และกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี พ.. 2488 จนกระทั่งยื่นจดทะเบียนสมาคมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.. 2491 และใช้ชื่อว่า สมาคมลีลาศแห่งประเทศไทย ตั้งแต่นั้นมา





ประโยชน์ของการลีลาศ 

           จากสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมปัจจุบัน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาที่สลับซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง สภาพการณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้ประชาชนประสบกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งทางด้าน
ร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักการศึกษาต่างก็พยายามเน้นและชี้น าให้เห็นถึงความจำเป็น เกี่ยวกับการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆที่สามารถผ่อนคลายความเครียด และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ลีลาศเป็นกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้วยังช่วยพัฒนาทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ อารมณ์และสังคมได้เป็นอย่างดี จึงพอสรุปประโยชน์ของการลีลาศได้ ดังนี้ 
1. ก่อให้เกิดความซาบซึ้งในจังหวะดนตรี 
2. ก่อให้เกิดความสนุกสนาม เพลิดเพลิน 
3. เป็นกิจกรรมนันทนาการ และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ 
4. เป็นกิจกรรมสื่อสัมพันธ์ทางสังคม ผู้ชายและผู้หญิงสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมพร้อมกันได้ 
5. ช่วยพัฒนาทักษะทางกลไก (Motor Skill) 
6. ช่วยส่งเสริมสุขภาพพลานามัย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้แข็งแรงสมบูรณ์อันจะท าให้มีชีวิตยืนยาวและมีความสุข 
7. ทำให้มีรูปร่างทรวดทรงงดงาม สมส่วน มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ดูแล้วสง่างาม ยิ่งขึ้น 
8. ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม 
9. ช่วยให้รู้จักการเข้าสังคม และรู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคมได้เป็นอย่างดี 
10. ช่วยส่งเสริมให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกในสิ่งที่ดีงาม 
11. ทำให้มีความซาบซึ้งในวัฒนธรรมอันดีงาม และช่วยจรรโลงให้คงอยู่ตลอดไป 
12. เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 
13. เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยแก้ไขข้อบกพร่องทางกาย 



มารยาทในการลีลาศ 

1. ไม่ควรสูบบุหรี่หรือขบเคี้ยวของขณะลีลาศ 
2. ต้องลีลาศไปตามทิศทางที่ถูกต้อง 
3. ควรแต่งกายให้ถูกต้องตามกาละเทศะ 
4. ให้ความสนใจคู่ลีลาศของตน 
5. ไม่แสดงความเบื่อหน่ายคู่ลีลาศของตน 
6. อย่าแสดงความสนใจคู่ลีลาศอื่น 
7. หากมีความจำเป็นต้องพูดคุยกับผู้อื่นในขณะลีลาศ ควรแนะนำคู่ลีลาศของตนให้รู้จักด้วย 
8. ไม่ร้องเพลงคลอเสียงดนตรีขณะลีลาศ 
9. ถ้าจะเปลี่ยนคู่ลีลาศ ควรพอใจด้วยกันทั้งสองฝุาย 
10. ไม่สอนลวดลายใหม่ขณะที่ลีลาศอยู่บนฟลอร์ 
11. การลีลาศโดยไม่จับคู่ถือว่าไม่สุภาพ 


 มารยาทในการลีลาศของสุภาพบุรุษ 
1. ไม่ควรยืนข้างฟลอร์เฉยๆ 
2. ไม่ตัดคู่ขอลีลาศกับสุภาพสตรีที่กำลังลีลาศอยู่ เมื่อยังมีสตรีอื่นไม่ได้ออกลีลาศ 
3. ควรเดินน าหน้าเพื่อขอทาง โดยยื่นมืออีกข้างให้สุภาพสตรีจับถ้าฟลอร์แน่น 
4. เมื่อจบเพลงควรเดินตามไปส่งให้ถึงที่นั่ง พร้อมกับกล่าวขอบคุณ 
5. ไม่ควรนำลีลาศในลวดลายที่ยาก 
6. ถ้าจะขอลีลาศกับสุภาพสตรีอื่น ต้องขออนุญาตคู่ลีลาศของเขาก่อน และให้สุภาพสตรีพอใจที่จะลีลาศด้วย 


มารยาทในการลีลาศของสุภาพสตรี 
1. พยายามเป็นผู้ตาม 
2. รับการขอลีลาศจากสุภาพบุรุษเสมอ 
3. กล่าวรับคำขอบคุณของสุภาพบุรุษอย่างสุภาพ 
4. เมื่อปฏิเสธการลีลาศจากสุภาพบุรุษคนหนึ่งแล้ว ไม่ควรออกลีลาศกับสุภาพบุรุษอื่นในจังหวะนั้น 




ที่มา  ::
http://rujirek-petpimolmat.blogspot.com/2011/05/blog-post_28.html
http://www.mwit.ac.th/~jat/contents/40106/history.pdf
http://kmblog.rmutp.ac.th/apichai.m/2011/10/20/ความหมายความสำคัญและปร/
http://hilight.kapook.com/view/71743